ทำงานที่บ้าน (Work from Home) มีข้อดีมากกว่าที่คุณคิด!
การทำงานที่บ้านจะมีประสิทธิภาพเท่าการมาทำงานที่บริษัทจริงหรอ? พนักงานจะมีความรับผิดชอบพอหรือเปล่า? เป็นคำถามที่หลาย ๆ บริษัทยังคงสงสัย และไม่แน่ใจอยู่ครับ เพราะคนไทยเรามักเคยชินกับการทำงานที่บริษัท หรือต้องมาเจอหน้ากันทุกวัน แต่แท้จริงแล้ว ผลวิจัยจากหลาย ๆ องค์กรระดับโลกยืนยันแล้วครับว่า การทำงานที่บ้านทำให้งานมีประสิทธิภาพมากกว่าหรือเทียบเท่าการทำงานที่ออฟฟิศได้จริง ยิ่งไปกว่านั้นการทำงานที่บ้าน นอกจากจะส่งผลดีทั้งต่องานโดยตรงแล้ว ยังมีผลต่อตัวพนักงานเอง และบริษัทด้วยครับ
ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศรวมถึงบางบริษัทในไทยก็มีการทำงานรูปแบบนี้บ้างแล้ว และผมก็ได้เเนะนำแนวทาง รวมถึงเครื่องมือที่สามารถใช้ได้เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานทางไกลใน รวมเครื่องมือทำงานที่บ้าน (Work from Home ) ทำยังไงให้ได้งาน? วันนี้เราจะมาหาคำตอบเกี่ยวข้อดี ข้อเสียของการ work from home กันบ้างครับ
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
“เมื่อพนักงานมีความสุขมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น” แน่นอนว่าการตื่นเช้าไปทำงานทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานช่วงเช้าลดลงครับ ยิ่งพนักงานต้องมาเจอปัญหาการเดินทาง บางคนเดินทางตกวันละ 1- 2 ชั่วโมงเพื่อเข้าออฟฟิศแล้วด้วย ก็ยิ่งต้องตื่นเช้าขึ้นไปอีก การทำงานงานจากบ้านทำให้ลดเวลาตรงนี้ แล้วไปเพิ่มให้กับการทำงานได้ครับ นอกจากงานที่ออกมาจะมีประสิทธิภาพแล้ว พนักงานเองก็ได้มีความคิดสร้างสรรค์ หรือหาแรงบันดาลใจในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วยเพราะไม่ต้องอุดอู้อยู่ในบริษัท จุดนี้ก็ส่งผลต่องานที่ต้องใช้ความคิดได้อีกด้วยครับ
2. ลดต้นทุนในการบริหารจัดการและเพิ่มโอกาสให้กับบริษัท
บริษัทส่วนใหญ่ ที่มีนโยบาย work from home สามารถลดทรัพยากรในการทำงานต่าง ๆ ในออฟฟิศไปได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าอุปกรณ์การทำงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเตอร์เน็ต รวมถึงในบางครั้งที่ต้องเดินทางออกนอกสถานที่ก็จะมีพวกค่ารถ ค่าน้ำมัน ต่าง ๆ อีกครับ เพราะหากได้ทำงานที่บ้าน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของพนักงานแทนครับ ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนให้ต่ำลงครับ นอกจากนี้จากผลการสำรวจของ American Economic Review ยังพบว่า พนักงานมีแนวโน้มที่จะ ยอมให้ลดเงินเดือนของตนเองลง 8% ของเงินเดือนเพื่อเเลกกับการได้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านครับ อีกทั้งในยุคปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะใช้เทคโนโลยีในการทำงานมากขึ้น ดังนั้นพวกเขามักจะเลือกบริษัทที่มีความยืดหยุ่นสูง นั่นทำให้บริษัทมีโอกาสจะได้พนักงานรุ่นใหม่ไฟแรงมาร่วมทำงานด้วยครับ
3. Work-Life Balance ดีขึ้น
พนักงานสามารถจัดการความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น เพราะการทำงาน 10 ชั่วโมงต่อวันทำให้เวลาหายไปพอสมควรครับ และพนักงานทุกคนก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ที่บ้าน ดังนั้นการทำงานที่บ้านหรือทำงานจากที่ไหนก็ได้สามารถทำให้พนักงานมีเวลาจัดการชีวิตของตัวเองมากขึ้น พร้อมกับทำงานไปด้วย จึงทำให้ต้องบริหารจัดการเวลาให้ดียิ่งขึ้น และสามารถ หยุดเพื่อพักสายตาจากหน้าจอ พักสมองไปช่วงหนึ่งได้ นอกจากนี้ยังส่งผลในระยะยาว ให้รักษาพนักงานให้อยู่ทำงานกับองค์กรได้นานกว่าอีกด้วยครับ
4. ลดความตึงเครียด
บรรยากาศการทำงานที่ออฟฟิศมีข้อดีคือ เป็นตัวกระตุ้นให้พนักงานตื่นตัวที่จะทำงานอยู่ตลอดเวลาก็จริงครับ แต่ก็ทำให้กดดัน และตึงเครียดมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการทำงานที่บ้านจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดให้กับพนักงานได้ ไม่เพียงแค่ความเครียดจากที่ทำงานแต่รวมถึงความเครียดจากการเดินทางด้วย ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ส่งผลต่อตัวงาน และความสัมพันธ์ของคนในบริษัทโดยตรง เมื่อการทำงานจากที่บ้านทำให้พนักงานมีความพึงพอใจในการทำงานสูง ประสิทธิภาพของงานก็จะสูงตามครับ
5.ลดการแพร่ระบาดของโรค
ข้อดีที่เห็นผลได้ชัดเจนที่สุดยามวิกฤตแบบนี้ครับ เพราะการแพร่ระบาดของ covid-19 ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพของพนักงานแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจอีกด้วยครับ หากพนักงานมีความกังวลว่ามาทำงานต้องมาเสี่ยงโรค นั่นจะทำให้ทำงานอย่างไม่มีความสุข และไม่มีสมาธิในการทำงานด้วยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อมีพนักงานป่วยการทำงานอยู่บ้านช่วยลดอัตราการติดโรคของคนในองค์กรได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามใช่ว่าการทำงานอยู่ที่บ้านจะมีแต่ข้อดีนะครับ เพราะข้อเสียหลัก ๆ เลยก็คือ ความยืดหยุ่นเองเนี่ยแหล่ะครับ หากพนักงานมีความหละหลวม และไม่ตื่นตัวในการทำงานดังนั้นการกำหนดเวลาในการทำงานให้จริงจังเป็นสิ่งสำคัญมากของการทำงานที่บ้าน ซึ่งถึงแม้ว่าจะพยายามแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวออกจากกัน แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเป็นบ้านก็ทำให้เวลาปฏิบัติจริงอาจทำไม่ได้ดีพอควรครับ
ในการทำงานนั้นมีเรื่องของรูปแบบการทำงานของเเต่ละองค์กร แต่ละฝ่ายในองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ ดังนั้นไม่ควรเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบปุบปับ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าจะเป็นประโยชน์กับงาน ควรค่อยๆ เริ่มในบางส่วนที่คิดว่าทำได้ครับ อาจจะทดลองให้พนักงานทำงานที่บ้าน 3 วัน และเดินทางมาออฟฟิตเพื่อพูดคุย หรือประชุมอัพเดตงาน 2 วันต่อสัปดาห์อะไรแบบนี้ดูครับเพื่อวัดผลว่าการทำงานแบบ work from home เหมาะหรือไม่เหมาะกับบริษัทของคุณครับ
แอดมิน เมฆ